จากคิวก่อนหน้าที่ตำรวจระดมขนตู้คอนเทนเนอร์หลายคัน รถพ่วง 18 ล้อปิดถนน ล้อมรั้วลวดหนามหบเพลง กำลังพลหลายสิบกองร้อย สกัดม็อบราษฎรไม่ให้บุกถึงหน้าสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ แต่มวลชนรุ่นใหม่ย้ายไปปักหมุดหน้าธนาคารไทยพาณิชย์สำนักงานใหญ่ ถนนรัชดา
ปรากฏการณ์เด็กชวนคนแก่เล่นซ่อนหา ทหารเฒ่าผวาขนตู้คอนเทนเนอร์ปิดถนน
ผลก็คือ รถติดเมืองกรุงวินาศสันตะโร
และตามรูปการณ์ส่อเค้าจะเป็นไปแบบนี้ไปเรื่อยๆเพราะเด็กเล่นแบบไม่เหนื่อย ไม่ถอย พร้อมวัดระยะกับทีมทหารเฒ่า 3 ป.ใครจะอึดกว่ากัน
โดยเฉพาะเกมเร้าช็อตเดิมพัน โยงหวยออกวันที่ 2 ธันวาคม
เงื่อนไขสถานการณ์ “พลิกเกม” เร้าม็อบเบิ้มๆ ปักหมุด ณ ศาลรัฐธรรมนูญ ตามฤกษ์ นัดฟันธงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ยังพักอาศัยอยู่ในบ้านพักทหารหลังเกษียณอายุราชการแล้ว ถือเป็นการจงใจไม่ทำตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 184 (3) ส่อขัดกันของผลประโยชน์ ถือเป็น การรับประโยชน์จากหน่วยงานของรัฐ หรือไม่
บันไดไต่ลง หรือพาดปีนตะเกียกตะกายไปต่อ
ที่แน่ๆในอารมณ์ของฝ่ายต้านขุมอำนาจ 3 ป. ชิงรับรวบรัดมัดคอให้ศาลรัฐธรรมนูญเปิดประตูหนีไฟ ลุ้นให้หวยออกมาในมุมผิด “บิ๊กตู่” ต้องหลุดเก้าอี้โดยอัตโนมัติ เทียบเงื่อนไขสถานการณ์ล้อกับอดีตนายกฯสมัคร สุนทรเวช ที่ตกเก้าอี้เพราะรับจ้างทำกับข้าวโชว์ออกทีวี
ตีปี๊บขู่ดักหน้า ดักทางรอโห่ “2 มาตรฐาน”
แต่จับทางฝั่งทหารเฒ่า 3 ป. ประเมินอาการของผู้นำที่ยังพยายามโชว์บทชิวๆ พูดทีเล่นทีจริงกับนักข่าวสะท้อนอารมณ์ไม่ซีเรียส แท็กทีม “พี่ใหญ่–พี่รอง” ปิดห้องคุยลับกัน 3 คน
ล้อกับข่าววงในสายเซียนที่เชื่ออิทธิฤทธิ์ “พระรอด–หลวงปู่แคล้ว–หลวงพ่อรอด” ที่ห้อยอยู่เต็มคอ
“บิ๊กตู่” โคตรเหนียว ยากจะโดนฟัน
เว้นแต่จะมีลูกติดพัน ในมุมกฎหมายไม่ผิด มันอาจจะมีจุดติดติ่ง ห้อยท้ายคำพิพากษา เลกเชอร์เรื่องของความเหมาะสมที่ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณส่วนบุคคล โดยเฉพาะว่ากันตามกติกาที่ใช้กับทหารชั้นผู้น้อยที่เกษียณอายุราชการต้องขนของย้ายออกจากบ้านหลวงทันที
ไม่มีโอกาสย้ายก้นมานั่งฝ่ายบริหาร เป็นนายกฯ เป็นรัฐมนตรี
ยิ่งในโหมดที่รัฐธรรมนูญบังคับไว้ เทียบกับธรรมเนียมเก่าๆ
ในค่ายทหาร อันไหน “เข้มขลัง” กว่ากัน
ที่แน่ๆศาลรัฐธรรมนูญฟันธงไม่ผิด แต่ไม่ได้ห้ามผู้นำแสดง “สปิริต”
ทางลงเท่ๆ เบิ้ลย้อนศรเสียงโห่ของม็อบราษฎร
ในอารมณ์เบื้องลึกของผู้นำสะท้อนออกสีหน้าแววตา ท้อโดนเด็กด่า ท้าเล่นเกมเสี่ยงแลกเลือด
ภายใต้เงื่อนไขสถานการณ์ที่มองไปมีแต่ความมืด ไร้แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ไม่ต้องหวังการปรองดองที่เดินหน้าแบบขอให้จบตามโปรแกรมเท่านั้น เพราะเข้าร่วมไม่ครบทุกฝ่าย ฟาวล์ตั้งแต่ต้น
และยิ่งไม่ต้องลุ้นเหลี่ยมลากเกมแก้รัฐธรรมนูญ ยังไม่ทันเริ่ม หัวขบวนก็สะดุดหัวคะมำ
เมื่อ “เสี่ยปาน” นายวิรัช รัตนเศรษฐ ประธานคณะกรรมาธิการฯ ตัวทำเกม โดนอัยการสูงสุดสั่งฟ้องกรณีทุจริตก่อสร้าง
สนามฟุตซอลโรงเรียนใน จ.นครราชสีมา ยื่นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่ง ทางการเมือง ส่อต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.รอลุ้นศาลตัดสินถูก-ผิด
แต่นั่นไม่เท่ากับสัญญาณร้ายกระแทกเศรษฐกิจที่ทีมงาน “บิ๊กตู่” ลากไม่ขยับเขยื้อน ล่าสุดยังซ้ำด้วยสถานการณ์ติดเชื้อไวรัสมรณะภายในประเทศ หลุดเข้ามาจังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดเชียงราย
ทำลายผลงานคุมโควิดที่ทีม “บิ๊กตู่” เคลมเป็นปราการด่านสุดท้าย
สัญญาณร้าย ขืนลากถูลู่ถูกังไป ไม่มีบันไดลงแล้ว.
ทีมข่าวการเมือง รายงาน
https://www.thairath.co.th/news/politic/1986517
เส้นทางการเมือง ของสุดารัตน์ เส้นทางซ้ำรอย ไทยรักษาชาติ
การยื่นใบลาออกจากสมาชิกภาพแห่งพรรคเพื่อไทยที่นำโดย คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ตามมาด้วย นายโภคิน พลกุล นายวัฒนา เมืองสุข นายพงศกร อรรณนพพร
เหมือนกับจะเป็นความขัดแย้ง แตกแยกและแยกตัวในทางการเมืองภายหลังการปรับโครงสร้างใหม่ภายในพรรคเพื่อไทย
แต่แท้จริงกลับเป็นดัง ‘สัญญาณ’ ในทางการเมือง
ความแตกต่างในทางยุทธศาสตร์ ในทางยุทธวิธีเกิดขึ้น ดำรงอยู่และดำเนินไปภายในพรรค ‘ใหญ่’ ระดับพรรคเพื่อไทยอย่างแน่นอน ไม่มีนี่ซิจะถือว่าเป็นเรื่องแปลก
แต่ก็มิได้เป็นความขัดแย้งอันมีลักษณะแตกหักในแบบผีไม่ยอมเผา เงาไม่ยอมเหยียบ เพราะเพียงแต่เปลี่ยนตัวเลขาธิการจาก น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ มาเป็น นายประเสริฐ จันทรรวงทอง
หัวหน้าพรรคยังเป็นคนเดิมและเสริมคนรุ่นใหม่เข้ามาเท่านั้นมิได้เป็นการเปลี่ยนหลักการใหญ่หรือทิศทางใหญ่
ถามว่าสัญญาณอันส่งมาจาก ‘คุณหญิง’ คืออะไร
บางคนอาจจะมองไปยังคำวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 2 ธันวาคมอย่างเป็นด้านหลัก แม้พรรคเพื่อไทยจะมีความมั่นใจในคำร้องของตนแต่พรรคเพื่อไทยมิได้เป็น ‘ละอ่อน’
1 มีความเข้าใจในรากฐานของ ‘องค์กรอิสระ’ หลังรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 เป็นอย่างดี
1 เข้าใจในผนังทองแดง กำแพงเหล็กทางการเมืองที่ประคับประคองการดำรงอยู่และการสืบทอดอำนาจโดย พล.อ.ประ ยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นอย่างดี
แต่สถานการณ์จากเดือนกรกฎาคมอันมาพร้อมกับ ‘เยาวชนปลดแอก’ เมื่อประสานกับสถานการณ์เดือนธันวาคมอันมาพร้อมกับการขยายผลของพรรคเพื่อไทย
บ่งชี้สภาวะขาลงของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อย่างเด่นชัดมากยิ่งขึ้นเป็นลำดับเท่ากับ ‘ทางลง’ เหลืออยู่น้อยเต็มที
นั่นก็คือ หากไม่ ‘ลาออก’ ก็ต้อง ‘ยุบสภา’ ไม่มีหนทางอื่น
แท้จริงแล้วการผละจากพรรคเพื่อไทยก็เหมือนกับเมื่อตอน นายจาตุรนต์ ฉายแสง นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ แยกตัวออกไปจัดตั้งพรรคไทยรักษาชาติก่อนการเลือกตั้งเดือนมีนาคม 2562 นั้นเอง
นี่คือยุทธการแตกแบงก์พันเพื่อเตรียมรับมือทางการเมืองไม่ว่าเส้นทาง ‘รัฐธรรมนูญ’ จะออกมาแบบไหนก็ตาม
นี่คือเส้นทางสร้างจุดต่างกับพรรคเพื่อไทยโดยพื้นฐาน
นั่นก็คือ พรรคเพื่อไทยเน้น ส.ส.แบบเขต ขณะที่ คุณหญิงสุดา รัตน์ เกยุราพันธ์ เน้นแบบบัญชีรายชื่อ
3 ความเห็น
คะแนน 1700 ยังได้เป็น สส. เลย 55555
ไอ้เห้ตู่
สปิริต ต้องไปถามแกรนสปอรตแล้วมั้ง ขอเวลาไม่นาน ถ้าผมเป็นลิเก ก็ลาโรงไปนานแล้ว โกหกได้ทุกวัน ด้านสุดๆ